ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เบื้องหลังความคึกคักนั้น ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับ “วิกฤตการณ์” ครั้งสำคัญ จากการที่แพลตฟอร์มดิจิทัลข้ามชาติขนาดใหญ่เข้ามามีอิทธิพลและครอบงำตลาดอย่างเบ็ดเสร็จ บทความนี้จะชวนมาถอดรหัสวิกฤตนี้ และมองหาทางรอดสำหรับธุรกิจไทยในสมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร
📉 ภาวะ “ยิ่งขาย กำไรยิ่งลด” และอำนาจที่ไร้การควบคุม
วิกฤตที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการที่แพลตฟอร์มต่างชาติสามารถ “ผูกขาด” ตลาดอีคอมเมิร์ซได้เกือบทั้งหมด ทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้ในการเข้าถึงลูกค้า
- ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น: แพลตฟอร์มต่างชาติมีอำนาจในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตามใจชอบ ทั้งค่าธรรมเนียมการขาย ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน หรือค่าธรรมเนียมการจัดส่ง ซึ่งมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนของผู้ขายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนเกิดปรากฏการณ์ “ยิ่งขาย…กำไรยิ่งลด” ในที่สุด
- การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่ถูกจำกัด: แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้า (Data Ownership) ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมการซื้อ หรือรายละเอียดลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ทำให้การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การทำตลาดเฉพาะกลุ่ม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ยั่งยืนเป็นเรื่องยาก
- การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้าข้ามพรมแดน: การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะจีน) ผ่านช่องทางของแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยบางครั้งสินค้าเหล่านี้อาจไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพที่เข้มงวด ทำให้สินค้าไทยที่ผลิตและจำหน่ายอย่างถูกต้องต้องเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคา
⚠️ ความเสี่ยงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย
การพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างหนัก ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่รายได้ของผู้ประกอบการ แต่ยังกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย:
- เงินทุนไหลออกนอกประเทศ: เงินค่าธรรมเนียมและการทำธุรกรรมจำนวนมหาศาลไหลออกจากระบบเศรษฐกิจไทยไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ
- ขาดการควบคุมและกำกับดูแล: แพลตฟอร์มต่างชาติหลายรายไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลในไทยอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การกำกับดูแลเรื่องภาษี มาตรฐานสินค้า (เช่น มอก. หรือ อย.) และการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปได้ยาก
- การสูญเสียข้อมูลสำคัญของชาติ: ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อขายของผู้บริโภคชาวไทยซึ่งเป็น “ขุมทรัพย์” ทางธุรกิจ ถูกจัดเก็บและนำไปใช้ประโยชน์โดยบริษัทต่างชาติเป็นหลัก
💡 ทางรอดและข้อเสนอแนะ: การปรับตัวและบทบาทของภาครัฐ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการไทยและหน่วยงานภาครัฐต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออก:
สำหรับผู้ประกอบการไทย (SMEs):
- สร้างช่องทางการขายของตนเอง (Own Channel): อย่าพึ่งพาแพลตฟอร์มหลักเพียงอย่างเดียว แต่ควรมุ่งเน้นการสร้างเว็บไซต์ (E-Commerce Website) หรือช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง เพื่อรักษาฐานลูกค้าและข้อมูล (Data) ไว้
- สร้างจุดแข็งที่ไม่ใช่ราคา: เน้นคุณภาพมาตรฐาน, การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง, การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ (Storytelling), และการบริการลูกค้าที่เป็นเลิศ เพื่อสร้างความแตกต่างจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
- ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล: นำเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ เช่น AI หรือระบบอัตโนมัติมาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
สำหรับภาครัฐ:
- สร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรม: เร่งรัดการกำหนดมาตรการและกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มต่างชาติ ให้ต้องเสียภาษีอย่างเป็นธรรม (เช่น ภาษีดิจิทัล) และบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและมาตรฐานสินค้าอย่างเคร่งครัด
- พิจารณาการสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกลาง”: ศึกษาโมเดลของต่างประเทศ เช่น ONDC ของอินเดีย เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าดิจิทัลแบบเปิดที่ไม่ผูกขาด เพื่อให้ SMEs และธุรกิจไทยมีพื้นที่ในการค้าขายอย่างเท่าเทียม
- สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีสัญชาติไทย: ส่งเสริมผู้ประกอบการดิจิทัลและสตาร์ทอัพไทยให้พัฒนาแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพและตอบโจทย์บริบทของคนไทย
สรุป:
วิกฤตแพลตฟอร์มต่างชาติไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขาย แต่เป็น “ความอยู่รอด” ของผู้ประกอบการและเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ธุรกิจไทยต้อง “รู้ทัน” และ “ปรับตัว” อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาครัฐต้องเร่งสร้าง “กฎกติกาที่ยุติธรรม” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกการค้าดิจิทัล
